ตามประสาเด็กฉลาด ช่างซักช่างถาม อยากรู้อยากเห็นไปหมด แล้วเจ้าตัวน้อยก็ถามคำถามจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา อาจแถมด้วยอาการงอแงงุ้งงิ้งเพราะความไม่เข้าใจ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องคิดค้นหาคำตอบที่โดนใจให้คนถามยอมรับเหตุผลว่า “ทำไมหนูต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน” เราอย่าเพิ่งเหนื่อยกับคำถามของลูกที่มีคำนำหน้าประโยคว่าทำไม ๆ ทุกครั้งไป ขอให้คิดว่าลูกเราเป็น Smart Kid ที่คิดเองเป็น และเรามีหน้าที่ให้คำตอบให้ลูกเข้าใจได้ การตอบคำถามที่ดูเหมือนง่าย แต่ต้องใช้ทักษะสร้างความเข้าใจให้เจ้าตัวน้อยชิลชิลมีดังนี้คือ
บรรยากาศที่ดีสามารถเอื้อประโยชน์ในการพูดคุยได้มาก ลูกจะเปิดใจยอมรับสิ่งที่เราพูดได้ง่ายขึ้น ไม่มีความเครียด ความกดดัน และการดุด่าว่ากล่าว ลูกยังเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจความเป็นไปของชีวิตได้ด้วยตนเอง จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องให้ความกระจ่างทั้งเรื่องเล็กน้อยจนถึงเรื่องใหญ่ การที่ลูกพูดคุยและถามคำถาม แสดงว่าลูกมีความกล้าแสดงออกและฉลาดที่จะถาม หากเก็บงำไว้ในใจไม่กล้าถาม โตขึ้นลูกอาจเป็นคนเก็บกดได้ นอกจากนี้เราควรให้ลูกลองคิดหาเหตุผลที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เป็นการฝึกลูกให้คิดด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก
ลูกอาจมีข้อกังวลที่โรงเรียน แต่ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ได้อย่างไร ถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกได้ไม่ชัดเจน จึงถามได้เพียงสั้น ๆ เท่านั้น เราควรฟังลูกให้เข้าใจก่อนว่าจริง ๆ แล้วลูกต้องการจะสื่อความใดให้รับรู้ แล้วเราค่อย ๆ จับความหาข้อมูลและตอบคำถามให้ชัดเจน ตรงประเด็น และครอบคลุมเรื่องราวที่ลูกต้องการจะบอก คำถามของลูกนั้น จริง ๆ แล้วลูกอาจอยากสื่อความนัยอื่น ๆ หรือเปล่า เช่น “ทำไมหนูต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน” แต่ความหมายที่แท้จริงคือ “หนูไม่อยากไป เพราะโดนเพื่อนแกล้ง” / “เพื่อนชอบหยิบดินสอยางลบของหนูไปใช้แล้วไม่คืน” / “การเรียนยากมากสำหรับหนู หนูเรียนไม่ทันเพื่อน” / “หนูเหงาไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน” ฯลฯ” คำถามของลูกอาจมีรายละเอียดอยู่ภายในที่ไม่ได้พูดออกมา ฉะนั้นเราต้อง “ฟัง” ลูกให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แล้วแยกแยะให้ออกว่า คำถามของลูกเป็นเพียงความอยากรู้อยากถามตามประสาเด็ก หรือลูกกำลังมีข้อกังวลและต้องการความช่วยเหลือ หรือเป็นอาการงอแงของลูกเอง
คำตอบมีหลากหลายรูปแบบ เราเลือกตอบให้ตรงกับสถานการณ์ที่เราพินิจพิเคราะห์จากการประมวลข้อมูลต่าง ๆ จากลูกแล้ว เช่น
1. การเรียนหนังสือที่โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิตของลูก เหมือนหนูต้องกินข้าว ต้องนอน ต้องเล่น ต้องอาบน้ำ หากไม่ทำอย่างนี้หนูจะไม่แข็งแรง และหากหนูไม่ไปโรงเรียน หนูก็จะไม่ฉลาด อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่มีความรู้ โดนหลอกได้ง่าย ทำงานไม่เป็น หากหนูอยากเป็นเด็กฉลาดและเป็นเด็กดีที่ใคร ๆ ก็รัก หนูต้องไปโรงเรียน พอโรงเรียนปิดเทอม หนูก็ได้พักผ่อนให้คุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยว
2. การไปโรงเรียนทำให้หนูมีเพื่อนใหม่ ๆ ได้เล่นกับเพื่อนตอนพักเรียน มีคุณครูใจดีคอยสอนหนังสือ บางครั้งคุณครูก็พาไปเที่ยวสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ ทำให้หนูได้ความรู้นอกจากการอ่านหนังสือ ได้เที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ ได้เปลี่ยนกิจกรรมหลายอย่างซึ่งที่บ้านไม่มี และหากให้หนูอยู่บ้านทั้งวันทุกวัน ไม่ได้ออกไปเล่นแดดออกกำลังกับเพื่อน ๆ หรือที่คุณครูพาไปเรียนว่ายน้ำในสระของโรงเรียน หนูจะเบื่อแน่นอน ที่โรงเรียนคุณครูพาหนูไปห้องสมุด ไปดูรูปสวย ๆ ในหนังสือ แล้วเล่าเรื่องสนุก ๆ ให้หนูและเพื่อน ๆ ฟัง พาไปห้องคอมพิวเตอร์ สอนให้พวกหนูเรียนรู้คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้หนูฉลาดมากมาย ได้ค้นหาข้อมูลที่หนูอยากได้จากทั่วโลก ที่สนามโรงเรียนมีเครื่องเล่นหลายอย่างให้หนูเล่นร่วมกับเพื่อน ๆ เห็นไหมว่าที่โรงเรียนมีอะไรสนุก ๆ ให้หนูทำตั้งหลายอย่าง
3. เมื่อหนูไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนจนจบการศึกษา หนูจะได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูจำเป็นต้องรู้ ทั้งจากในห้องเรียนหรือในห้องสมุดหรือที่คุณครูสอนเพิ่มเติม เมื่อหนูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หนูจะมีเพื่อนและคนรู้จักมากมาย มีความสุข ได้งานทำดี ๆ หาเงินได้ตามความรู้ของหนูไว้ดูแลตนเองและครอบครัว คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย เหมือนกับที่พ่อและแม่ทำ และหนูยังสามารถเลือกอนาคตของตนเองได้อีกด้วย เราถามต่อได้อีกเลยว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ทีนี้ละเจ้าตัวเล็กจะเล่าได้ยืดยาวถึงความใฝ่ฝันของตนเอง นั่นละคือเหตุผลที่หนูต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
พ่อคุณแม่ควรมีคำตอบหลายรูปแบบไว้ตอบคำถามของลูกที่อาจถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้อสำคัญคือเราเองก็ต้องเห็นความสำคัญและความจำเป็นที่ลูกต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน การเรียนมีความหมายต่อลูกมากมายทั้งในปัจจุบันและอนาคต เราต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องการเรียนการบ้านของลูก และชีวิตความเป็นอยู่ของลูกที่โรงเรียน ซึ่งจะทำให้เราตอบคำถามลูกได้ชัดเจนและจริงใจ อีกทั้งทำให้ลูกสนุกกับการเรียนและมีความสุขที่โรงเรียน แล้วลูกจะบอกเราเองว่า หนูอยากไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
ณัณท์
ข้อมูลอ้างอิง When asked by your child “why do I have to study”, how would you respond? https://www.gymboglobal.jp/en-column/010